สวัสดีครับ เพื่อนๆ สมาชิก ทุกท่าน. กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในการ รีวิว การท่องเที่ยวของผม. หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ.
ผมกับภรรยาแต่งงานกันวันที่ 8 ธันวาคม 2556 และตัดสินใจจะไป Honeymoon กันที่ ญี่ปุ่น ทริปนี้จึงถือกำเนิดขึ้นมา... โดยพวกเราเลือกที่จะเดินทางวันที่ 28 ธันวาคม 2556 และ กลับวันที่ 1 มกราคม 2557. พวกเรามีเวลาแค่ 5 วัน เราจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด...ผมเลยเลือกที่จะพักที่ Osaka เป็นหลัก และใช้วิธีเดินทางไปชม เมืองอื่นๆ แบบ Day Trip เอาครับ.
Day 1: เที่ยว Nara และ Tempozan Habor Village, Osaka
พวกเราเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airline เพื่อบินตรงไป Osaka เลยครับ ด้วยเที่ยวบิน JL 728 เครื่องลงแต่เช้าตรู่ 06.20 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังจากผ่านด่าน ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว พวกเราก็ นั่งรถไฟ Nankai Line ราคา 890 Yen ไปลงที่ Nankai Namba station ครับ เพื่อที่จะต่อรถไฟใต้ดิน สาย Midosuji Line (Red Line) ไปลงที่สถานี Dobutsuen-Mae (M22) ไปยังโรงแรม Chou Oasis ที่เราจองล่วงหน้าผ่านทาง agoda ครับ (ราคาไม่แพง ห้องสะอาด พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้คล่องทุกคนครับ). ถึงสถานีแล้ว ออกทางออกที่ 2 หรือ 4 ก็ได้ ใกล้ โรงแรมทั้งคู่. เอาของไป drop ไว้แล้วก็ฝากของไว้ใน locker ที่ใช้เหรียญ 100 Yen หยอด. พอเอาของคืนก็จะได้เหรียญกลับมาด้วย.
เอาภาพแผนที่ รถไฟใต้ดินของ Osaka มาฝากทุกๆท่านครับ

ภาพหน้าโรงแรมครับ... หาไม่ยาก
Lobby ค่อนข้างกว้างขวาง มีชา กาแฟ ซุปมิโซะ ฟรี ตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นครับ แล้วก็มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีครัวที่สามารถเข้าไปใช้ Microwave และเตาทำอาหารได้ครับ เหมาะสำหรับ การมาพักเป็น ครอบครัว

ภาพห้องนอน กว้างพอสมควรครับ
มี Heater ด้วย TV ตู้เย็น พร้อม ไม่ต้องกลัว หมอนก็นุ่ม ผ้าห่มก็อุ่น สบายสุดๆ ครับ
มื้อแรกไปทานร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม ตรงร้าน Flet 100 Yen shop เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ที่ดีคือโรงแรมมี 10 % Cash Back Policy ด้วย เอาใบเสร็จที่ stamp แล้วมาโชว์ ได้เงินคืน 10% จากยอดจริงที่จ่ายไปครับ ดีจัง.
ร้านอาหารหลายๆ แห่ง ที่ญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะตู้อัตโนมัติครับ ไม่ต้องตกใจ หากอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ส่วนมากจะมีรูปประกอบ และ ราคา ระบุไว้ชัดเจน เราก็จ่ายเงินไปตามราคา หรือจะ จ่ายเกินก็ได้ครับ สามารถทอนเงินทุกเครื่องครับ
เสร็จแล้วก็จะได้ตั๋วนี้มา ให้นำไปให้ พ่อครัว หรือ พนักงานในร้าน พออาหารของเราทำเสร็จ เค้าจะนำมาเสิรฟ์ ให้เราถึงโต๊ะครับ
พอทานเสร็จก็ลงรถไฟใต้ดินจากสถานี Dobutsuen- Mae ที่เราพัก (M 22) ไปสาย Midosuji Line (สายสีแดง) นั่งไป 2 สถานี ไปลงที่ Namba (M20) ไปต่อสาย Kitnetsu Nara Line ไปลงที่ Nara.

ถ่ายภาพก่อนขึ้นรถซะหน่อย

อันนี้บริเวณสถานี Nara นะครับ (ขอบคุณภาพจาก internet)

มาถึง นาระ แล้วนะค๊าาา
เริ่มต้นด้วยการเดินจากสถานี Nara ไปบริเวณบ่อน้ำ และจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปเที่ยว Kofukuji Temple ที่มี เจดีย์สูง 5 ชั้น จากนั้นก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และแวะ ซื้อมันร้อนๆ ทาน แต่ขอบอก มันแพงพอควรนะครับ 100 Gram = 200 Yen โดนไป 1,100 เยน แทบจะแพง เท่ากินอาหารดีๆ 2 จานเลย. แล้วเราก็เอามันป้อนน้องกวาง ละแวก Nara Park. เจ้ากวางก็เดินมาออเซาะไม่ปล่อยเลย เห็นอาหารไม่ได้ กว่าจะสลัดหลุดมาได้ เหงื่อตกเลย . จากนั้นก็เดินไปวัด Todaiji ผ่านถนนสาย shopping หน้าวัด และประตู Nandaimon Gate ที่มียักษ์หน้าดุ 2 ตัว เฝ้าอยู่. ไปไหว้พระ Daibutsu (Big Buddha). จากนั้น พวกเราเข้าไปมุดเสาที่มีรูแคบๆ อยู่ภายในวัด ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาต่อแถว มุดรู ตรงกลางเสากัน. ว่ากันว่าใคร มุดได้จะพบเจอแต่โชคดี. ไม่ได้ซื้อ Shika senbei (ขนมกวาง) ให้กวางกินเลย แต่ แค่นี้กวางก็รุม จะแย่อยู่แล้วครับ.

ถึงแล้วค๊าบบ เมือง Nara

บริเวณสถานี Kinetsu Nara

น้องกวางถือได้ว่าเป็น สัญลักษณ์ของ นาระ เลยทีเดียว

เห็นใครถือขนมไม่ได้เลยนะ ต้องเข้ามา ประจบ

ถ่ายกับวัด Kofukuji Temple
วัด Kofukuji ถือเป็นวัดประจำตระกูลของ ครอบครัว ฟูจิวาระ ( Fujiwara) ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีอำนาจมากในยุคเฮอัน.
บางส่วนที่ถูกสร้างไว้อาจมีการถูกทำลายในช่วงสงครามแต่ ณ ปัจจุบันก็ยังมี สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าที่ยังคงอยู่ โดยหนึ่งในนั้นคือ เจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งมีความสูงถึง 50 เมตร ทำให้เป็นเจดีย์ที่มีความสูงเป็น อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น รองจากเจดีย์ 5 ชั้น ที่วัดโทจิ (Toji Temple) เมือง เกียวโต ที่มีความสูงถึง 57 เมตร.
โทไดจิ (東大寺, Tōdaiji, "วัดใหญ่แห่งตะวันออก") ( 大 แปลว่า ใหญ่ ) ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดวัดหนึ่งของเมือง นาระ . ตัววัดถูกสร้างในปี 752 ในฐานะวัดหลักของเมือง. วัดพุทธนี้มีอิทธิพลมากในสมัยนั้น มากจนกระทั่งจำต้องย้ายเมืองหลวงจาก นาระ ไปยัง นากาโอกะ ในสมัยปี 784 เพื่อที่จะลดความมีอิทธิพลของวัดและศาสนาพุทธ ต่อการปกครองของรัฐบาล.
ในโถงหลักของวัดนั้นมี Daibutsuden (พระพุทธรูปใหญ่l) ประดิษฐานอยู่ โดยตัววัดเป็นวัดที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยพระพุทธรูปใหญ่นั้นมีความสูงถึง 15 เมตร เลยทีเดียว

จขกท. ถ่ายคู่กับ มจขกท. อิอิ

เสานี้ เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมาก โดยเชื่อว่าหากใครมุดผ่านไปได้ จะโชคดี ไม่เจ็บไข้ ประมาณนั้นครับ

พอเดินชมวัดเสร็จก็รองท้องซักหน่อยด้วยขนม ดังโงะ ครับ คุณป้าคนขายใจดี พอรู้ว่าผมพูด ญี่ปุ่นได้ ก็ถามใหญ่ มาจากไหน มากี่วัน ชอบญี่ปุ่นมั้ย พ่อหนุ่ม.

ขอบคุณพ่อหนุ่มนะที่ ลากรถพาพี่ๆ ชมเมือง ถ้าจำไม่ผิดน้องบอกว่าชื่อ เคนอิจิ ประมาณนี้.. น้องน่ารักมากๆ พยายาม อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ... ซึ่งถือว่าสำเนียงดีเลย ฟังรู้เรื่องชัดแจ่ว
จากนั้น เราก็ไปนั่ง รถลากกันให้ น้องผู้ชายลากไป ระยะสั้น (Short Course) 10 นาที คิด 3,000 เยน ระหว่างที่นั่งชมเมือง ละอองหิมะก็ตกลงมาให้ได้เชยชม Romantic สมเป็น trip honeymoon จริงๆเลย ประทับใจสุดๆ. อุณหภูมิ น่าจะลงไปแตะ 0 องศาเลย. พอเสร็จเราก็ไปหาข้าวกลางวันทานแถวๆ วัด Todaiji ได้ทาน Soba tempura ร้อนๆ ดูหิมะตก ก็แปลกตาไปอีกแบบ เป็น moment ที่ สุขี มากๆ
เดี๋ยวเจ้าของกระทู้ ขออนุญาต มาลุยต่อนะครับ กำลังทยอย ย่อรูปอยู่
[CR] ทริป Honeymoon December 2013 ตะลุย Osaka, Nara, Kyoto และ Kobe 5 วัน 4 คืน
ผมกับภรรยาแต่งงานกันวันที่ 8 ธันวาคม 2556 และตัดสินใจจะไป Honeymoon กันที่ ญี่ปุ่น ทริปนี้จึงถือกำเนิดขึ้นมา... โดยพวกเราเลือกที่จะเดินทางวันที่ 28 ธันวาคม 2556 และ กลับวันที่ 1 มกราคม 2557. พวกเรามีเวลาแค่ 5 วัน เราจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด...ผมเลยเลือกที่จะพักที่ Osaka เป็นหลัก และใช้วิธีเดินทางไปชม เมืองอื่นๆ แบบ Day Trip เอาครับ.
Day 1: เที่ยว Nara และ Tempozan Habor Village, Osaka
พวกเราเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airline เพื่อบินตรงไป Osaka เลยครับ ด้วยเที่ยวบิน JL 728 เครื่องลงแต่เช้าตรู่ 06.20 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังจากผ่านด่าน ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว พวกเราก็ นั่งรถไฟ Nankai Line ราคา 890 Yen ไปลงที่ Nankai Namba station ครับ เพื่อที่จะต่อรถไฟใต้ดิน สาย Midosuji Line (Red Line) ไปลงที่สถานี Dobutsuen-Mae (M22) ไปยังโรงแรม Chou Oasis ที่เราจองล่วงหน้าผ่านทาง agoda ครับ (ราคาไม่แพง ห้องสะอาด พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้คล่องทุกคนครับ). ถึงสถานีแล้ว ออกทางออกที่ 2 หรือ 4 ก็ได้ ใกล้ โรงแรมทั้งคู่. เอาของไป drop ไว้แล้วก็ฝากของไว้ใน locker ที่ใช้เหรียญ 100 Yen หยอด. พอเอาของคืนก็จะได้เหรียญกลับมาด้วย.
เอาภาพแผนที่ รถไฟใต้ดินของ Osaka มาฝากทุกๆท่านครับ
Lobby ค่อนข้างกว้างขวาง มีชา กาแฟ ซุปมิโซะ ฟรี ตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นครับ แล้วก็มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีครัวที่สามารถเข้าไปใช้ Microwave และเตาทำอาหารได้ครับ เหมาะสำหรับ การมาพักเป็น ครอบครัว
มี Heater ด้วย TV ตู้เย็น พร้อม ไม่ต้องกลัว หมอนก็นุ่ม ผ้าห่มก็อุ่น สบายสุดๆ ครับ
มื้อแรกไปทานร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม ตรงร้าน Flet 100 Yen shop เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ที่ดีคือโรงแรมมี 10 % Cash Back Policy ด้วย เอาใบเสร็จที่ stamp แล้วมาโชว์ ได้เงินคืน 10% จากยอดจริงที่จ่ายไปครับ ดีจัง.
ร้านอาหารหลายๆ แห่ง ที่ญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะตู้อัตโนมัติครับ ไม่ต้องตกใจ หากอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ส่วนมากจะมีรูปประกอบ และ ราคา ระบุไว้ชัดเจน เราก็จ่ายเงินไปตามราคา หรือจะ จ่ายเกินก็ได้ครับ สามารถทอนเงินทุกเครื่องครับ
เสร็จแล้วก็จะได้ตั๋วนี้มา ให้นำไปให้ พ่อครัว หรือ พนักงานในร้าน พออาหารของเราทำเสร็จ เค้าจะนำมาเสิรฟ์ ให้เราถึงโต๊ะครับ
พอทานเสร็จก็ลงรถไฟใต้ดินจากสถานี Dobutsuen- Mae ที่เราพัก (M 22) ไปสาย Midosuji Line (สายสีแดง) นั่งไป 2 สถานี ไปลงที่ Namba (M20) ไปต่อสาย Kitnetsu Nara Line ไปลงที่ Nara.
เริ่มต้นด้วยการเดินจากสถานี Nara ไปบริเวณบ่อน้ำ และจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปเที่ยว Kofukuji Temple ที่มี เจดีย์สูง 5 ชั้น จากนั้นก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ และแวะ ซื้อมันร้อนๆ ทาน แต่ขอบอก มันแพงพอควรนะครับ 100 Gram = 200 Yen โดนไป 1,100 เยน แทบจะแพง เท่ากินอาหารดีๆ 2 จานเลย. แล้วเราก็เอามันป้อนน้องกวาง ละแวก Nara Park. เจ้ากวางก็เดินมาออเซาะไม่ปล่อยเลย เห็นอาหารไม่ได้ กว่าจะสลัดหลุดมาได้ เหงื่อตกเลย . จากนั้นก็เดินไปวัด Todaiji ผ่านถนนสาย shopping หน้าวัด และประตู Nandaimon Gate ที่มียักษ์หน้าดุ 2 ตัว เฝ้าอยู่. ไปไหว้พระ Daibutsu (Big Buddha). จากนั้น พวกเราเข้าไปมุดเสาที่มีรูแคบๆ อยู่ภายในวัด ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาต่อแถว มุดรู ตรงกลางเสากัน. ว่ากันว่าใคร มุดได้จะพบเจอแต่โชคดี. ไม่ได้ซื้อ Shika senbei (ขนมกวาง) ให้กวางกินเลย แต่ แค่นี้กวางก็รุม จะแย่อยู่แล้วครับ.
วัด Kofukuji ถือเป็นวัดประจำตระกูลของ ครอบครัว ฟูจิวาระ ( Fujiwara) ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีอำนาจมากในยุคเฮอัน.
บางส่วนที่ถูกสร้างไว้อาจมีการถูกทำลายในช่วงสงครามแต่ ณ ปัจจุบันก็ยังมี สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าที่ยังคงอยู่ โดยหนึ่งในนั้นคือ เจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งมีความสูงถึง 50 เมตร ทำให้เป็นเจดีย์ที่มีความสูงเป็น อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น รองจากเจดีย์ 5 ชั้น ที่วัดโทจิ (Toji Temple) เมือง เกียวโต ที่มีความสูงถึง 57 เมตร.
โทไดจิ (東大寺, Tōdaiji, "วัดใหญ่แห่งตะวันออก") ( 大 แปลว่า ใหญ่ ) ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดวัดหนึ่งของเมือง นาระ . ตัววัดถูกสร้างในปี 752 ในฐานะวัดหลักของเมือง. วัดพุทธนี้มีอิทธิพลมากในสมัยนั้น มากจนกระทั่งจำต้องย้ายเมืองหลวงจาก นาระ ไปยัง นากาโอกะ ในสมัยปี 784 เพื่อที่จะลดความมีอิทธิพลของวัดและศาสนาพุทธ ต่อการปกครองของรัฐบาล.
ในโถงหลักของวัดนั้นมี Daibutsuden (พระพุทธรูปใหญ่l) ประดิษฐานอยู่ โดยตัววัดเป็นวัดที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยพระพุทธรูปใหญ่นั้นมีความสูงถึง 15 เมตร เลยทีเดียว
จากนั้น เราก็ไปนั่ง รถลากกันให้ น้องผู้ชายลากไป ระยะสั้น (Short Course) 10 นาที คิด 3,000 เยน ระหว่างที่นั่งชมเมือง ละอองหิมะก็ตกลงมาให้ได้เชยชม Romantic สมเป็น trip honeymoon จริงๆเลย ประทับใจสุดๆ. อุณหภูมิ น่าจะลงไปแตะ 0 องศาเลย. พอเสร็จเราก็ไปหาข้าวกลางวันทานแถวๆ วัด Todaiji ได้ทาน Soba tempura ร้อนๆ ดูหิมะตก ก็แปลกตาไปอีกแบบ เป็น moment ที่ สุขี มากๆ
เดี๋ยวเจ้าของกระทู้ ขออนุญาต มาลุยต่อนะครับ กำลังทยอย ย่อรูปอยู่